วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วัฒนธรรมไทยในมิติใหม่

ศิลปะการแสดงของไทย

ศิลปะการแสดงของไทย ศิลปะการแสดงของไทย เป็นการแสดงถึงวัฒนธรรมที่มีคุณค่าสูงส่งและแฝงไว้ซึ่งความงดงามของภูมิปัญญาชาวไทย เชื่อกันว่าศิลปะการแสดงของไทยมีพื้นฐานมาจากอารมณ์ และความเชื่อทางศาสนา นอกจากนี้การแสดงแต่ละท้องถิ่นก็เป็นการถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกและวิถีชีวิตของคนแต่ละท้องถิ่นด้วยเช่นกัน
1. ภาคเหนือ เป็นการฟ้อนหรือร่ายรำ ที่แสดงถึงความอ่อนช้อย เช่น ฟ้อนเทียน ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเจิง ฟ้อนเงี้ยว ฟ้อนดาบ ละครซอ ตบมะผาบ ฟ้อนเทียน เป็นการแสดงเพื่อสักการะบูชา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพิธีสำคัญๆ ในคุ้มเจ้าหลวง ลักษณะการรำ มือถือเทียนจุดไฟก้าวเท้าเรียงตามกันช้าๆ เพื่อไม่ให้เทียนดับใช้ฟ้อนเวลากลางคื
2. ภาคกลาง ส่วนมากมีการแสดงเป็นเพลงพื้นเมือง รำวง และละคร เช่น เพลงทรงเครื่อง ลำตัด เพลงฉ่อย รำวง ลิเก ละครชาตรี รำหย่อย เต้นกำรำเคียว หนังสดหรือโขนสด ละครชาตรี มีตัวหลักอยู่ 3 ตัว คือ ตัวพระ ตัวนาง และตัวตลก เป็นชายล้วน การดำเนินเรื่องจะมีผู้บอกบท ผู้รำหรือผู้เล่นจะร้องตามมีลูกคู่ร้องรับวรรคท้ายๆ ซ้ำกัน 3 ครั้ง เรื่องที่นำมาแสดงคือเรื่องในวรรณคดี
3. ภาคอีสาน การแสดงส่วนมากจะเน้นเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง เช่น เซิ้งรำโปงลาง หมอลำ ระบำพนมรุ้ง เรือมเพลงโคราช ระบำกะลา เซิ้ง แต่เดิมเซิ้งหมายถึงคำร้องที่มีผู้ร้องนำแล้วลูกคู่จะรับกันเป็นจังหวะ มีการฟ้อนรำตามคำเซิ้ง ต่อมาหมายถึงการรำท่าต่างๆ ด้วยจังหวะที่สนุกสนา
4.ภาคใต้ ศิลปะการแสดงทางใต้จะแบ่งตามกลุ่มตามเจ้าวัฒนธรรม คือ กลุ่มไทยพุทธเช่น โนรา หนังตะลุง และกลุ่มไทยยุคมุสลิม เช่น ซัมเปง รองเง็ง หนังตะลุง เป็นมหรสพเล่นเงา ผู้เชิดหนังตะลุง จะร้องและเจรจาอยู่หลังจอโดยใช้แสงไฟส่องให้เงาไปปรากฏบนจอผ้าตามการเชิดของนายหนัง เรื่องที่นิยมแสดงคือ รามเกียร

ประเพณีสงกรานต์ของไทยเรา

ประเพณีสงกรานต์
วันสงกรานต์” ก็เวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งแล้วนะคะ หลายคนจะเข้าใจวันสงกรานต์แต่เพียงการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และการเล่นน้ำสงกรานต์เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงประเพณีสงกรานต์นี้ยังมีคติข้อคิดและคุณค่าต่าง ๆ สอดแทรกอยู่มากมาย เป็นประเพณีที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ในสังคมและสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของความเป็นไทยได้อย่างชัดเจน เช่น ความกตัญญู ความโอบอ้อมอารี ความเอื้ออาทรต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมโดยใช้ น้ำ เป็นสื่อกลางในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นประเพณีหนึ่งที่เก่าแก่ของไทยที่ได้ยึดถือปฏิบัติมาแต่ครั้งโบราณ คอลัมภ์อยู่อย่างไทยในฉบับนี้จึงขอนำเสนอคุณค่าของประเพณีสงกรานต์ให้ได้รับทราบกันดังนี้นะคะ ความเป็นมา สงกรานต์เป็นประเพณีที่สำคัญและสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยสันนิษฐานว่า เป็นประเพณีดั้งเดิมของอินเดีย ต่อมาได้แพร่ขยายไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ ได้แก่ ลาว เขมร พม่า จีน และไทย ทั้งนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนดัดแปลงให้ต่างไปจากเดิมบ้าง ทั้งการประกอบพิธี รูปแบบ และพฤติกรรม ในประเทศไทย ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า ได้มีประเพณีสงกรานต์มาตั้งแต่เมื่อใด แต่ได้ถือเอาวันที่ ๑๓ เมษายนของทุกปี เป็นวันสงกรานต์ เสถียรโกเศศสันนิษฐานว่า ไทยเรารับประเพณีขึ้นปีใหม่ ในวันที่ ๑๓ เมษายน มาจากอินเดียฝ่ายเหนือ ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ตรงกับการเปลี่ยนจากฤดูหนาวเป็นฤดูใบไม้ผลิ หรือที่เรียกว่าฤดูวสันต์ของอินเดีย จัดเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขา เพราะเป็นช่วงที่อากาศไม่หนาวจัด ต้นไม้ผลิใบให้ความสดชื่น บังเอิญช่วงเวลานี้ตรงกับช่วงเวลาที่คนไทยเราในสมัยโบราณว่างจากการทำนาจึงเป็นการเหมาะสมสำหรับคนไทยที่จะฉลองปีใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย ความหมายของประเพณีสงกรานต์ คำว่า “สงกรานต์” เป็นภาษาสันสฤต แปลว่า ก้าวขึ้น ย่างขึ้นหรือเคลื่อนที่ หมายถึง ช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีหนึ่ง ซึ่งเมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนจาก ราศีมีนสู่ราศีเมษ ถือว่าเป็นสงกรานต์ปี จะเรียกพิเศษว่า “มหาสงกรานต์” อันเป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นการนับทางสุริยคติ จะตกอยู่ในระหว่างวันที่ ๑๓ , ๑๔ และ ๑๕ เมษายน โดยแต่ละวันจะมีชื่อเรียกเฉพาะ ดังนี้ วันที่ ๑๓ เมษายน เรียกว่า วันมหาสงกรานต์ หมายถึง วันที่พระอาทิตย์ก้าวขึ้นสู่ ราศีเมษอีกครั้งหนึ่ง หลังจากผ่านเข้าสู่ราศีอื่น ๆ มาแล้ว ๑๒ เดือน ซึ่งวันที่ ๑๓ เมษายนนี้ทางการ ยังกำหนดให้เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” ด้วย เพื่อให้ลูกหลานได้เห็นความสำคัญของผู้สูงอายุ ซึ่งมักเป็นบุพการีหรือผู้อาวุโสที่เคยทำคุณประโยชน์แก่ชุนชน/บ้านเมืองหรือสังคมนั้นๆมาแล้ว วันที่ ๑๔ เมษายน เรียกว่า วันเนา แปลว่า วันอยู่ หมายถึง วันที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษเรียบร้อยแล้ว วันนี้รัฐบาลได้กำหนดให้เป็น “วันครอบครัว” ด้วย วันที่ ๑๕ เมษายน เรียกว่า วันเถลิงศก หรือ วันพญาวัน คือ วันเริ่มเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ หรือวันเริ่มปีใหม่ ทั้งสามวันนี้หากคำนวณตามโหราศาสตร์จริงๆอาจจะมีการคลาดเคลื่อนไม่ตรงกันบ้าง เช่น วันมหาสงกรานต์ อาจจะเป็นวันที่ ๑๔ เมษายน แทนที่จะเป็นวันที่ ๑๓ เมษายน แต่เพื่อให้จดจำได้ง่าย จึงกำหนดเรียกตามที่กล่าวข้างต้น

ขนมไทยภาคเหนือ

ขนมไทยภาคเหนือ ส่วนใหญ่จะทำจากข้าวเหนียว และส่วนใหญ่จะใช้วิธีการต้ม เช่น ขนมเทียน ขนมวง ข้าวต้มหัวหงอก มักทำกันในเทศกาลสำคัญ เช่นเข้าพรรษา สงกรานต์ ขนมที่นิยมทำในงานบุญเกือบทุกเทศกาลคือขนมใส่ไส้หรือขนมจ๊อก ขนมที่หาซื้อได้ทั่วไปคือ ขนมปาดซึ่งคล้ายขนมศิลาอ่อน ข้าวอีตูหรือข้าวเหนียวแดง ข้าวแตนหรือข้าวแต๋น ขนมเกลือ ขนมที่มีรับประทานเฉพาะฤดูหนาว ได้แก่ ข้าวหนุกงา ซึ่งเป็นงาคั่วตำกับข้าวเหนียว ถ้าใส่น้ำอ้อยด้วยเรียกงาตำอ้อย ข้าวแคบหรือข้าวเกรียบว่าว ลูกก่อ ถั่วแปะยี ถั่วแระ ลูกลานต้ม ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ขนมพื้นบ้านได้แก่ ขนมอาละหว่า ซึ่งคล้ายขนมหม้อแกง ขนมเปงม้ง ซึ่งคล้ายขนมอาละหว่าแต่มีการหมักแป้งให้ฟูก่อน ขนมส่วยทะมินทำจากข้าวเหนียวนึ่ง น้ำตาลอ้อยและกะทิ ในช่วงที่มีน้ำตาลอ้อยมากจะนิยมทำขนมอีก 2 ชนิดคือ งาโบ๋ ทำจากน้ำตาลอ้อยเคี่ยวให้เหนียวคล้ายตังเมแล้วคลุกงา กับ แปโหย่ ทำจากน้ำตาลอ้อยและถั่วแปยี มีลักษณะคล้ายถั่วตัด
ขนมเทียน
ขนมปาด